รายละเอียดข้อมูลวิจัย

ลำดับที่ 8078
ผู้กรอกข้อมูล โสภาพร พันธุลาวัณย์
วันที่กรอกข้อมูล 16/11/2553
ชื่อเรื่องไทย การประเมินความต้องการการพัฒนาอาจารย์ ในวิทยาลัยสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก
ชื่อเรื่องอังกฤษ Instructor Development Needs Assessment in the Colleges under Praborommarajchanok Institute for Health Manpower Development
ชื่อผู้วิจัยหลัก กาญจนา สันติพัฒนาชัย
   
ชื่อผู้วิจัยร่วม
ผู้ร่วมวิจัย
สุภาวดี ด่านธำรงกูล
ปาริชาต ตามไท
นิชดา สารถวัลย์แพศย์
เบญจพร ทิพยผลาผลกุล
สังกัด สถาบันพระบรมราชชนก
   
แหล่งทุน
แหล่งทุนโปรดระบุ(ชื่อ)
แหล่งทุนจากหน่วยงานในประเทศ (แหล่งทุนจากต้นสังกัด)โปรดระบุสถาบันพระบรมราชชนก สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข
   
ประเภทของผลงาน รายงานวิจัย
แหล่งที่เก็บ
แหล่งที่เก็บข้อมูลโปรดระบุ(ชื่อ)
สถาบันพระบรมราชชนกวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีพะเยา
   
ปี 2541
บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินความต้องการการพัฒนาอาจารย์ กลุ่มตัวอย่างมี 2 กลุ่ม คือ 1) ผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้ข้อมูลความรู้ ทักษะความสามารถ และคุณสมบัติที่จำเป็นต้องได้รับการพัฒนา เพื่อปฏิบัติภารกิจตามบทบาทอาจารย์ระดับอุดมศึกษา จำนวน 9 คน กลุ่มให้ข้อมูลปัจจัยที่เอื้อต่อการพัฒนาอาจารย์ จำนวน 10 คน  2) อาจารย์ของวิทยาลัย จำนวน 30 แห่ง สังกัดสถาบันพระบรมราชชนก จำนวน 1,027 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับความรู้ ทักษะความสามารถ และคุณสมบัติที่จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาและปัจจัยที่เอื้อต่อการพัฒนา  2) แบบสอบถามความคิดเห็นอาจารย์เกี่ยวกับสภาพการพัฒนาอาจารย์ ความต้องการการพัฒนาตนเอง และปัจจัยที่เป็นอุปสรรคและเอื้อต่อการพัฒนาอาจารย์ แบบสอบถามเรื่องนี้หาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (α = Coefficient) ได้ค่าความเที่ยงเท่ากับ .97 ในส่วนที่เป็นเรื่องปัจจัยที่เอื้อต่อการพัฒนาอาจารย์ และเท่ากับ .98 ในส่วนที่เป็นเรื่องปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอาจารย์ การเก็บข้อมูลโดยส่งแบบสอบถามไปให้อาจารย์ในวิทยาลัยทางไปรษณีย์ และคณะผู้วิจัยสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิด้วยตนเอง การวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ย และความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สรุปได้ดังนี้

1. ในภาพรวม วิธีการพัฒนาที่อาจารย์ควรได้รับเพื่อปฏิบัติภารกิจหลัก (งานสอน) คือ การศึกษาต่อในประเทศ การฝึกอบรมโดยเฉพาะการฝึกอบรมระยะยาว วิธีการพัฒนาเพื่อปฏิบัติภารกิจรองโดยการให้ลงมือปฏิบัติงานนั้น ๆ โดยตรง ได้แก่ การทำวิจัย การเขียนตำราและบทความวิชาการ วิธีการพัฒนาเพื่อปฏิบัติงานเสริมและงานอื่น ๆ ใช้วิธีการศึกษาดูงานในประเทศ และการเยี่ยมชมสถานศึกษาในเรื่องที่เกี่ยวกับงานนั้น ๆ โดยตรง ได้แก่ งานกรรมการ งานการให้บริการชุมชน งานทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม งานกิจการนักศึกษา รวมทั้งใช้วิธีการพัฒนาอื่น ๆ อีก เฉพาะวิธีการประชุมสัมมนาวิชาการและร่วมทำงานในรูปคณะกรรมการวิชาการควรใช้น้อยกว่าวิธีการอื่น ๆ

2.   ความรู้ ทักษะความสามารถเพื่อปฏิบัติภารกิจหลัก (งานสอน) ภารกิจรอง งานเสริม และงานอื่น ๆ ซึ่งเป็นความต้องการการพัฒนาที่อาจารย์ควรได้รับ ได้แก่  1) ความรู้ทางวิชาชีพในสาขาวิชาที่สอน 2) แผนพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพ 3) ความรู้ทางด้านการศึกษาที่มิใช่เรื่องการเรียนการสอนและวิธีการสอนทั่ว ๆ ไป 4) การสอน/วิธีการสอนที่ทำให้เกิด Critical thinking การสอนแบบ PBL 5) การใช้เครื่องมืออุปกรณ์เทคโนโลยีโดยใช้คอมพิวเตอร์ 6) ทักษะการนำความรู้ประสบการณ์จากการปฏิบัติงานในคลินิกมาใช้ในการสอน 7) เทคนิคการเป็นที่ปรึกษา การให้คำปรึกษาแนะนำ 8) วิธีการวิจัยแบบใหม่ ๆ การเขียนบทคัดย่อตีพิมพ์ในวารสารทั้งในและต่างประเทศ 9) การคิดวิเคราะห์เป็น 10) การเขียนตำรา บทความและเอกสารทางวิชาการ 11) การสื่อสาร การพูด การเขียน และการอ่านบทความวิเคราะห์วิจารณ์ 12) การใช้ภาษาอังกฤษ 13) ความรู้ในศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้านสังคม เศรษฐกิจและการเมือง วิทยาศาสตร์สุขภาพ  14) ความรู้และทักษะความสามารถในงานบริหาร 15) ความรูและทักษะความสามารถในงานธุรการ 16) ความรู้เฉพาะเรื่องในศาสตร์ของตนเองที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานในคณะกรรมการ การบริการ/ธุรการที่นำใช้ในการประชุม บทบาทประธานและกรรมการที่เข้าประชุม 17) ความรู้และทักษะความสามารถในการพัฒนาบุคลากรในเรื่องการฝึกอบรม 18) การให้บริการชุมชนทั้งด้านการเป็นวิทยากรฝึกอบรมและการให้บริการสุขภาพในชุมชน

3.   คุณสมบัติเพื่อปฏิบัติภารกิจตามบทบาทอาจารย์ระดับอุดมศึกษา ซึ่งเป็นความต้องการพัฒนาที่อาจารย์ควรได้รับ ได้แก่ 1) คุณสมบัติการเป็นครู ทั้งเรื่องคุณลักษณะของอาจารย์ที่ดี คือ มีความรู้อย่างดีในวิชาชีพระดับปริญญาโทขึ้นไป ความรู้ในสาขาวิชาที่สอน เชี่ยวชาญเฉพาะในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามที่ตนเองถนัดหรือสนใจ สร้าง/พัฒนาบุคลิกของอาจารย์ กระตือรือร้นศึกษาหาความรู้หรือพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ขยันและรักในการอ่าน-เขียน กล้าแสดงออกในเชิงความคิด มีวิสัยทัศน์ และมีคุณธรรมและจริยธรรม ได้แก่ ความอดทน เสียสละ มีธรรมะและสมาธิ ฯลฯ 2) คุณสมบัติการเป็นที่ปรึกษา 3) คุณสมบัติการเป็นวิทยากร 4) คุณสมบัติการเป็นผู้ให้บริการชุมชน 5) คุณสมบัติเป็นนักวิจัย 6) คุณสมบัติอื่น ๆ คือ มีความสามารถเชิงสากล ทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทักษะการบริหารจัดการ การมีค่านิยมร่วมทางสังคม รับรู้และปฏิบัติตามสังกัด

4.   ปัจจัยที่เอื้อและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอาจารย์ตามความคิดเห็นของอาจารย์ พบว่าอาจารย์มีความคิดเห็นในภาพรวมว่า ปัจจัยด้านโครงสร้างการบริหารองค์กร ด้านบุคคล ด้านสิ่งจูงใจ ด้านสิ่งแวดล้อมด้านกายภาพ และด้านสิ่งแวดล้อมด้านสังคม ถ้าจะเอื้อต่อการพัฒนาอาจารย์มาก และปัจจัยทุกด้านถ้าไม่มีจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอาจารย์ปานกลาง เฉพาะด้านบุคคลและด้านสิ่งแวดล้อมด้านสังคม ถ้ามีจะเป็นปัจจัยเอื้อ ตรงข้ามถ้าไม่มีจะเป็นปัจจัยอุปสรรคต่อการพัฒนาอาจารย์ด้วย

ปัจจัยที่เอื้อต่อการพัฒนาอาจารย์ตามความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่าปัจจัยที่เอื้อต่อการพัฒนาอาจารย์ ได้แก่ 1) โครงสร้างการบริหารองค์กรที่จัดให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบการพัฒนาอาจารย์ อาจแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ องค์กรประจำที่กำหนดในสายงานไว้ชัดเจน และองค์กรที่ไม่เป็นทางการ ทำในรูปคณะกรรมการเกิดขึ้นชั่วคราวหรือเป็นเฉพาะกิจ 2) ปัจจัยบุคคล ในเรื่องคุณลักษณะด้านประชากร 3) องค์ประกอบด้านสังคมและเศรษฐกิจ และองค์ประกอบด้านอารมณ์และจิตใจของบุคคล 4) สิ่งแวดล้อมภายในองค์การหรือสถาบันที่อาจารย์ปฏิบัติงานอยู่ และสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์การ 5) สิ่งจูงใจ ทั้งที่เป็นวัตถุหรือเงิน และสิ่งจูงใจที่ไม่ใช่วัตถุหรือเงิน
URL
วัตถุประสงค์

เพื่อประเมินความต้องการการพัฒนาอาจารย์ และศึกษาปัจจัยที่เป็นอุปสรรคและที่เอื้อต่อการพัฒนาอาจารย์ของวิทยาลัยในสังกัดสถาบันพระบรมราชชนก

 
    พิมพ์หน้านี้